วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ค.ศ. 1276
พุทธศักราช 1819 ใกล้เคียงกับ

เมษายน ค.ศ. 1276 - มีนาคม ค.ศ. 1277
ค.ศ. 1276 เป็นปีอธิกสุรทินที่วันแรกเป็นวันพุธตามปฏิทินจูเลียน
ค.ศ. 1277 เป็นปีปกติสุรทินที่วันแรกเป็นวันศุกร์ตามปฏิทินจูเลียน
มหาศักราช 1198
ปีชวด อัฏฐศก จุลศักราช 638 (วันที่ 27 มีนาคม เป็นวันเถลิงศก) ผู้นำ

วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2550


สุขภาพ เป็นการเรียกการกล่าวถึงลักษณะของการไม่เป็นโรค สุขภาพเป็นความสมบูรณ์ของคนใน 4 มิติ คือ ร่างกาย จิตใจ สังคม และวิญญาณ(ปัญญา)หากสมบูรณ์อย่างสมดุลแล้ว ก็จะเข้าสู่ที่เรียกว่าสุขภาวะ
ตามนิยามขององค์การอนามัยโลก สุขภาพหมายถึงสุขภาวะทางร่างกาย จิตใจ และสังคมรวมทั้งการปราศจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งทางกายและทางใจ
สุขภาพ

วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ยม
ยม สามารถหมายถึง


แม่น้ำยม หนึ่งในสี่แควหลักของแม่น้ำเจ้าพระยา
พระยม เทวดาองค์หนึ่งตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์และพุทธ
ท้าวสุยม (พระสุยามาธิบดี) หัวหน้าเทวดาบนสวรรค์ชั้นยามา ในฉกามาพจร
ยมโลก หรือ นรก ตามความเชื่ออันเนื่องจากคติไตรภูมิ

  • ยมบาล ผู้ดูแลรักษายมโลก โดยทั่วไปหมายถึง พระยม
    ยมทูต เทวทูตชั้นผู้น้อยผู้เป็นบริวารแห่งยมบาล
    รัก-ยม บริภูติชนิดหนึ่ง ตามความเชื่อทางไสยศาสตร์
    วันยม หรือวันยมขันธ์ หนึ่งในวันที่ไม่ควรประกอบพิธีมงคลตาม ดิถีอันประกอบด้วยวัน
    ดาวยมหรือดาวพลูโต ดาวเคราะห์แคระในระบบสุริยะ
    ต้นยม ต้นไม้ในวงศ์ Meliaceae เช่น ยมหิน ยมหอม

วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2550

รัสเซีย (แก้ความกำกวม)
รัสเซีย อาจหมายถึง:


สหพันธรัฐรัสเซีย (Russia) - ประเทศในทวีปยุโรปและทวีปเอเีชีย
ภาษารัสเซีย (Russian language)
รัสเซียศึกษา (Russian Studies)

วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2550


อำเภอชะอำ เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดเพชรบุรี และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัด ซึ่งมีหาดทรายขาว ยาว และยังเป็นแหล่งเศรษฐกิจด้านการทอ่งเที่ยวที่สำคัญ ซึ่งเป็นรายได้ให้กับด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจการโรงแรม ธุรกิจการค้าของที่ระลึก ร้านอาหาร การประมง เป็นต้น
อำเภอชะอำ ตั้งขึ้นเมืองปี พ.ศ. 2440 ที่บ้านายาง หมู่ที่ 3 ตำบลนายาง เดิมใช้ชื่อว่า "อำเภอนายาง" ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2457 ได้ย้ายที่ว่าการอำเภอนายาง ไปตั้งที่บ้านหนองจอกและเปลี่ยนชื่อเป็นเป็นอำเภอหนองจอก เขตอำเภอท่ายาง ในปัจจุบัน จนกระทั่งหลังสงครามมหาเอเชียบูรพากระทรวงมหาดไทยได้ย้ายอำเภอหนองจอก มาตั้งที่ ต.ชะอำ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่สะดวกแก่การปกครองและได้เปลี่ยนชื่อเป็น "อำเภอชะอำ"เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2487 มี พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก

อ.ชะอำ เศรษฐกิจในชะอำ
ในอำเภอชะอำยังมีโครงการที่เกี่ยวกับพระราชดำริในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุยเดช พระองค์ทรงได้พระราชทานแนวทางการแก้ไขปัญหาของชาวบ้าน ซึ่งมีโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ดังนี้
จะเห็นว่าศูนย์การพัฒนาห้วยทราย อันเนื่องมาขากพระราชดำริเป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ คือมีทั้งการศึกษาการทดลอง และสาธิต เพื่อให้เห็นผลทุกด้าน ดังนั้นราษฎรสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิตได้อย่างแท้จริงจึงนำไปสู่การเพิ่มผลผลิตและเป็นการเพิ่มรายได้อีกต่อไป
ภาพที่พักบังกะโล
ภาพที่พักโรงแรมชายทะเล‎
ภาพชายหาดทะเลชะอำ
ภาพชายหาดริมะเลชะอำ

โครงการพระราชประสงค์หุบกระพง เป็นโครงการเกี่ยวกับการจัดสรรที่ดินทำกินเกษตรกรผู้ยากจนในรูปแบบของหมู่บ้านสหกรณ์ จะเน้นในด้านเกษตรและกิจกรรมสหกรณ์
ศูนย์สาธิตสหกรณ์ดอนขุนห้วย ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องมาจากโครงการหุบกระพงมุ่งเน้นการจัดหาที่ดินทำกินให้แก่ราษฎรที่ยากจน
ศูนย์การศึกษาพัฒนาห้วยทราย เป็นพื้นที่เขตอับฝน เนื่องมาจากป่าไม้ถูกทำลาย ดินขาดการบำรุงรักษาทำให้เกิดการพังทลายค่อนข้างสูง และราษฎรส่วนใหญ่ปลูกไร่สับปะรด โดยใช้สารเคมีมากทำให้คุณภาพของดินต่ำลงด้วย พระองค์ทรงมีราชดำรัสว่า หากปล่อยทิ้งไว้จะกลายเป็นทะเลทราย ในที่สุด จึงให้แนวทางการแก้ไขให้เป็นศูนย์การพัฒนาด้านการเกษตรควบคู่ไปกับการปลูกป่า และช่วยส่งเสริมราษฎรสร้างรายได้จาการผลิตผลจากป่าไม้กับปลูกพืชชนิดต่าง ๆ ในรูปแบบของเกษตรผสมผสานควบคู่กันไป

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2550


?
มาช่วยกันเพิ่มเติมและแก้ไขกันเถอะ เพื่อให้บทความนี้น่าอ่านยิ่งขึ้น รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่ เริ่มต้นเขียน และ นโยบายวิกิพีเดีย หรือ ภาษาอื่นด้านซ้ายมือ ให้นำกล่องนี้ออกเมื่อมีข้อความเพิ่มเติม


เซฟาแมนโดล (Cefamandole)


รุ่นที่ 1
รุ่นที่ 2
รุ่นที่ 3
เซฟาแมนโดล

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2550


สมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ (「昭和天皇」 Shōwa Tennō – โชวะเทนโน) (29 เมษายน 2444 - 7 มกราคม 2532) พระนามเดิม ฮิโระฮิโตะ (裕仁) ทรงเป็นจักรพรรดิพระองค์ที่ 124 ของประเทศญี่ปุ่น ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2469 - พ.ศ. 2532 รวมแล้วถึง 63 ปี
สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโระฮิโตะทรงมีบทบาทที่สำคัญในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเป็นผู้นำญี่ปุ่นเข้าร่วมฝ่ายอักษะร่วมกับนาซีเยอรมันและฟาสซิสต์ของอิตาลี
สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโระฮิโตะเสด็จพระราชสมภพ ณ ปราสาทอะโอะยะมะ กรุงโตเกียว เมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2444 ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระจักรพรรดิไทโช และเจ้าหญิงซะดะโกะ โดยมีพระนามในวัยเด็ก ว่า เจ้าชายมิจิ (迪宮)

จักรพรรดิฮิโรฮิโต พระราชโอรส-ธิดา
หลังจากสมเด็จพระจักรพรรดิไทโชทรงประชวร เจ้าชายฮิโระฮิโตะจึงได้ถูกแต่งตั้งขึ้นมาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในขณะนั้นเจ้าชายฮิโรฮิโตะทรงมีพระชนมายุได้ 20 พรรษา และทรงกลายมาเป็นจักรพรรดิของประเทศตามพฤตินัย ขาดเพียงพระอิสริยยศว่า "สมเด็จพระจักรพรรดิ" เท่านั้น ขณะที่สมเด็จพระจักรพรรดิไทโชกลับเป็นพระประมุขเพียงในทางนิตินัย
เจ้าชายฮิโระฮิโตะ ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในส่วนของสมเด็จพระจักรพรรดิในทันที เช่นการเสด็จไปร่วมพิธีเปิดการประชุมสภา ต้อนรับอาคันตุกะต่างแดน และเสด็จพระราชดำเนินชมแสงยานุภาพของการทหาร เจ้าชายยังทรงเอาพระราชกิจด้านการเมืองการปกครองทั้งหมดในวังหลวงของสมเด็จพระจักรพรรดิมาทำ รวมถึงการหารือกับนายกรัฐมนตรี และออกราชโองการรับรองนโยบายของรัฐบาลอย่างเป็นทางการ
ในปี พ.ศ. 2464(ค.ศ. 1921) เจ้าชายฮิโระฮิโตะในฐานะมกุฎราชกุมารได้เสด็จประพาสทวีปยุโรปเป็นเวลาครึ่งปี ซึ่งประกอบด้วย สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส อิตาลี นครรัฐวาติกัน เนเธอร์แลนด์ และ เบลเยียม ซึ่งการเสด็จประพาสในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นมกุฎราชกุมารพระองค์แรกที่ได้เสด็จไปยุโรป

วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2550


สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ (「明仁」 Akihito) หลังจากที่สิ้นยุคของพระองค์แล้ว เราก็อาจจะขนานพระนามพระองค์ว่า จักรพรรดิเฮเซ

พระราชโอรสและพระราชธิดา
สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องสัตว์น้ำคนหนึ่ง ทรงศึกษาวิชามีนวิทยา จากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัย Gakushuin กรุงโตเกียว เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศมกุฎราชกุมาร ได้ทรงเสด็จมายังประเทศไทย และทรงทูลเกล้าถวายปลานิลจำนวน 50 ตัว แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2508 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครั้งนั้นได้ทรงโปรดเกล้า ให้ทดลองเลี้ยงปลานิลในบ่อสวนจิตรลดา เป็นหนึ่งโครงการในโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา ซึ่งการทดลองเลี้ยงนับว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง จนปัจจุบัน ปลานิลกลายเป็นหนึ่งในปลาเศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่งของประเทศไทย
นอกจากนี้แล้ว ยังทรงค้นพบปลาในตระกูลปลาบู่ทะเลชนิดใหม่ ต่อมาได้มีการตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Exyrias akihito ซึ่งชื่อสายพันธุ์ของปลาชนิดนี้ได้ถูกตั้งตามพระนามของพระองค์ด้วย
จักรพรรดิอะกิฮิโตะ


วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2550


พุทธศักราช 1864 ใกล้เคียงกับ

เมษายน ค.ศ. 1321 - มีนาคม ค.ศ. 1322
ค.ศ. 1321 เป็นปีปกติสุรทินที่วันแรกเป็นวันพฤหัสบดีตามปฏิทินจูเลียน
ค.ศ. 1322 เป็นปีปกติสุรทินที่วันแรกเป็นวันศุกร์ตามปฏิทินจูเลียน
มหาศักราช 1243
ปีระกา ตรีศก จุลศักราช 683 (วันที่ 28 มีนาคม เป็นวันเถลิงศก) ค.ศ. 1321 ปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์

วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2550


เบรเมิน (เยอรมัน: Bremen [ˈbʀeːmən]) เป็นเมืองฮันเซียติค (Hanseatic) ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเยอรมนี (ชื่ออย่างเป็นทางการ: Stadtgemeinde Bremen (เทศบาลนครเบรเมิน)). เบรเมินเป็นเมืองท่า ตั้งอยู่ตามแนวแม่น้ำเวเซอร์ ประมาณ 60 ก.ม. ทางใต้จากทางออกสู่ทะเลเหนือ เบรเมินเป็นหนึ่งในสองเมืองในรัฐเบรเมิน (ชื่ออย่างเป็นทางการ: Freie Hansestadt Bremen (นครฮันเซียติคอิสระเบรเมิน) ซึ่งบอกความเป็นสมาชิกของHanseatic Leagueในยุคกลาง) อีกเมืองหนึ่งคือ เบรเมอร์ฮาเฟิน (Bremerhaven) เบรเมินมีประชากร 545,983 คน (เมื่อ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2548) ส่วนเขตเมืองใหญ่ (Bremen-Oldenburg) มีประชากรมากกว่า 2.37 ล้านคน.

เบรเมิน เบียร์ที่กลั่นในเบรเมิน

วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2550

กระทรวงการสาธารณสุขกระทรวงการสาธารณสุข
กระทรวงสาธารณสุข มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพอนามัย การป้องกัน ควบคุม และรักษาโรคภัย การฟื้นฟูสมรรถภาพของประชาชน และราชการอื่นตามที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขหรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงสาธารณสุขปัจจุบันตั้งอยู่ที่ ถนนติวานนท์ ตำบลตลาดขวัญ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี

หน้าที่และความรับผิดชอบ
ตาม พ.ร.บ. ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 ประกาศให้กระทรวงสาธารณสุข มีส่วนราชการดังต่อไปนี้

สำนักงานรัฐมนตรี
สำนักงานปลัดกระทรวง
กรมการแพทย์
กรมควบคุมโรค
กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
กรมสุขภาพจิต
กรมอนามัย
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา

วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2550

กรดนาลิดิซิก
?
มาช่วยกันเพิ่มเติมและแก้ไขกันเถอะ เพื่อให้บทความนี้น่าอ่านยิ่งขึ้น รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่ เริ่มต้นเขียน และ นโยบายวิกิพีเดีย หรือ ภาษาอื่นด้านซ้ายมือ ให้นำกล่องนี้ออกเมื่อมีข้อความเพิ่มเติม


กรดนาลิดิซิก (Nalidixic acid)
กรดนาลิดิซิก

รุ่นที่ 1
รุ่นที่ 2
รุ่นที่ 3

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2550


เมาส์ (mouse) คืออุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมการใช้งานในคอมพิวเตอร์ชิ้นหนึ่ง ซึ่งออกแบบเพื่อให้พอดีกับการใช้งานโดยส่วนโค้งและส่วนเว้าโค้งเข้าตามกับอุ้งมือของผู้ใช้ โดยภายด้านใต้ของเมาส์จะมีอุปกรณ์ซึ่งตรวจจับการเคลื่อนไหวของเมาส์ โดยส่งสัญญาณไปที่คอมพิวเตอร์เพื่อแสดงผลของเคอร์เซอร์บนหน้าจอคอมพิวเตอร์
เมาส์ได้ชื่อมาจากรูปร่างของตัวมันเอง และสายไฟ ซึ่งมีลักษณะคล้ายหนูและหางหนู และขณะเดียวการเคลื่อนที่ของเคอร์เซอร์บนหน้าจอมีลักษณะการเคลื่อนที่ไม่มีทิศทางเหมือนการเคลื่อนที่ของหนู

กำเนิดของเมาส์
ในขณะเดียวกันก็ได้มีการพัฒนาเมาส์อีกรูปแบบนึงนั่นก็คือ ออปติคอลเมาส์ (optical mouse) ซึ่งใช้หลักการในการตรวจจับการเคลื่อนไหวโดยใช้เซนเซอร์แสงที่อยู่ใต้เมาส์ ร่วมกับแอลอีดี ออปติคอลเมาส์ในยุคแรก ๆ ประดิษฐ์โดย สตีฟ เคิร์ช (Steve Kirsch) ที่บริษัท Mouse Systems Corporation ซึ่งสามารถใช้ได้บนเมาส์แพด (mouse pad) ที่มีพิ้นผิวเป็นโลหะเฉพาะเท่านั้น แต่เมื่อคอมพิวเตอร์มีราคาถูกลง ออปติคอลเมาส์จึงได้ถูกใส่ชิปสำหรับประมวลผลภาพ (image processing chips) เข้าไป ซึ่งทำให้สามารถใช้ได้บนพื้นผิวหลายชนิดมากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องใช้เมาส์แพดอีกต่อไป
หลักการของเมาส์แบบที่ไม่ต้องใช้เมาส์แพด คือการใช้เซ็นเซอร์ในการตรวจจับการเคลื่อนที่ของพื้นผิวที่เกิดจากการใช้แอลอีดีส่องไปที่พื้นผิว และจะถูกส่งต่อไปที่ส่วนประมวลผลภาพเพื่อที่จะแปลงไปเป็นการเคลื่อนไหวบนแกน X และ Y โดยจะประมวลผลถึง 1512 เฟรมต่อวินาที ซึ่งในแต่ละเฟรมเป็นมีขนาด 18*18 พิกเซล และแต่ละพิกเซลมีระดับความเข้มที่แตกต่างกันได้ถึง 64 เฉด เมาส์แบบนี้มักจะสับสนกับเลเซอร์เมาส์ (laser mouse) และกลายเป็นมาตรฐานในปัจจุบันเนื่องจากความแม่นยำที่มีมากกว่าเมาส์แบบลูกกลิ้ง
ปริมาณความต้องการออปติคอลเมาส์ ส่วนหนึ่งมาจากนักเล่นเกมแนว FPS ซึ่งต้องการความแม่นยำสูงในการเล็งโดยใช้เมาส์

ออปติคอลเมาส์
ผู้ที่สนับสนุนออปติคอลเมาส์อ้างว่ามันทำงานได้ดีกว่าเมาส์ลูกกลิ้ง ไม่ต้องบำรุงรักษาและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า เนื่องจากไม่มีชิ้นส่วนที่ต้องเคลื่อนไหว ส่วนทางด้านผู้สนับสนุนเมาส์ลูกกลิ้ง กล่าวว่าออปติคอลเมาส์นั้นไม่สามารถใช้บนวัสดุโปร่งแสงหรือเป็นมันได้ รวมถึงออปติคอลเมาส์ที่มีประสิทธิภาพต่ำจะมีปัญหาในการเคลื่อนเมาส์เร็ว ๆ และการซ่อมบำรุงเมาส์ลูกกลิ้งนั้นง่ายกว่า แค่ทำความสะอาดก็ใช้ได้แล้ว (แต่อย่างไรก็ดีออปติคอลเมาส์นั้นไม่ต้องการการบำรุงรักษาเลย) จุดที่แข็งที่สุดของเมาส์ลูกกลิ้งน่าจะเป็นการใช้พลังงานที่ต่ำกว่าเมื่อเป็นเมาส์ไร้สาย โดยที่มันจะใช้กระแสไฟฟ้าประมาณ 5 mA หรือน้อยกว่า ในขณะที่ออปติคอลเมาส์จะกินไฟถึง 25 mA โดยที่เมาส์ไร้สายรุ่นเก่าๆ จะกินไฟมากขึ้นไปอีก ซึ่งเป็นผลให้ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่บ่อยๆ ไม่เหมาะกับการใช้งานต่อเนื่องนานๆ Optomechanical mice ใช้แสงในการตรวจจับการเคลื่อนไหวของลูกกลิ้ง ในขณะที่ออปติคอลเมาส์ตรวจจับการเคลื่อนที่ของพื้นผิวเรียบ

เปรียบเทียบออปติคอลเมาส์กับเมาส์ลูกกลิ้ง
ในปี 2004 Logitech ร่วมกับ Agilent Technologies ได้นำเลเซอร์เมาส์เข้าสู่ตลาด เมาส์ชนิดนี้ใช้แสงเลเซอร์แทนแอลอีดีแบบเก่า เทคโนโลยีแบบใหม่สามารถเพิ่มรายละเอียดของภาพที่ถูกประมวลผลในเมาส์ได้อีก ถึง 20 เท่าเลยทีเดียว

เลเซอร์เมาส์
ปุ่มบนเมาส์ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงจากในสมัยแรกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยอาจจะเปลี่ยนในเรื่องรูปร่าง จำนวน และการวางตำแหน่ง เมาส์ตัวแรกที่ประดิษฐ์โดยเองเกลบาทนั้นมีเพียงปุ่มเดียว แต่ในปัจจุบันเมาส์ที่นิยมใช้กันมี 2 ถึง 3 ปุ่ม แต่ก็มีคนผลิตเมาส์ที่มีถึง 5 ปุ่มเลยทีเดียว
เมาส์ที่นิยมใช้กันจะมีปุ่มที่ 2 สำหรับเรียกเมนูลัดในซอฟต์แวร์ที่มีการออกแบบส่วนติดต่อผู้ใช้มารองรับ ไมโครซอฟท์วินโดวส์ระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็ออกแบบมาสนับสนุนการใช้ปุ่มที่ 2 นี้ด้วย
ส่วนระบบที่ใช้กับเมาส์ 3 ปุ่มนั้น ปุ่มกลางมักจะใช้เพื่อเรียก Macro (เครื่องมือที่ใช้เพิ่มการปฏิบัติงานของ Application บางอย่าง ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ซ่อนอยู่ภายใต้โปรแกรมนั้น เช่น โปรแกรม Excel ผู้ใช้อาจจะเขียนคำสั่งขึ้นเองเพื่อใช้ทำงานเฉพาะอย่าง นอกเหนือไปจากการทำงานตามปกติของโปรแกรมนั้น) ในปัจจุบันเมาส์แบบ 2 ปุ่มสามารถใช้งานฟังก์ชันปุ่มกลางของแบบ 3 ปุ่มได้โดย คลิกทั้ง 2 ปุ่มพร้อมกัน

ปุ่ม
บางครั้งเมาส์ก็มีปุ่ม 5 ปุ่มหรือมากกว่าขึ้นอยู่กับความชอบของผู้ใช้ ปุ่มพิเศษนี้อาจจะใช้ในการเลื่อนไปข้างหน้าหรือถอยหลังสำหรับการท่องเว็บ หรือเป็นปุ่ม scrolling แต่อย่างไรก็ตามฟังก์ชันเหล่านี้ใช้ไม่ได้กับทุกซอฟต์แวร์ และมักจะมีประโยชน์กับเกมคอมพิวเตอร์มากกว่า (เช่นการเปลี่ยนอาวุธในเกมประเภท FPS) เพราะว่าปุ่มพิเศษพวกนี้ เราสามารถที่จะกำหนดฟังก์ชันอะไรลงไปก็ได้ ทำให้การใช้งานเมาส์เหล่านี้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ดักลัส เองเกลบาท นั้นอยากให้มีจำนวนปุ่มมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่เค้าบอกว่าเมาส์มาตรฐานนั้นควรจะมี 3 ปุ่ม เพราะว่าเขาไม่รู้จะเพิ่มปุ่มเข้าไปตรงไหนนั่นเอง

ปุ่มเสริม
นวัตกรรมอย่างหนึ่งของปุ่มเมาส์คือปุ่มแบบเลื่อน (Scroll wheel ล้อเล็ก ๆ วางในแนวขนานกับผิวของเมาส์ สามารถหมุนขึ้นและลงเพื่อจะป้อนคำสั่งใน 1 มิติได้) โดยปกติแล้วจะใช้ในการเลื่อนหน้าต่างขึ้น-ลง เป็นฟังก์ชันที่มีระโยชน์มากสำหรับการดูเอกสารที่ยาว ๆ หรือในบางโปรแกรมปุ่มพวกนี้อาจจะใช้เป็นฟังก์ชันในการซูมเข้า-ออกได้ด้วย ปุ่มนี้ยังสามารถกดลงไปตรง ๆ เพื่อจะใช้เป็นฟังก์ชันปุ่มที่ 3 ได้อีก เมาส์ใหม่ ๆ บางตัวยังมี Scroll wheel แนวนอนอีก หรืออาจจะมีปุ่มที่สามารถโยกได้ถึง 4 ทิศทาง เรียกว่า tilt-wheel หรืออาจจะมีลักษณะเป็นบอลเล็กๆ คล้ายๆ Trackball บังคับได้ทั้ง 2 มิติเรียกว่า scroll ball

ล้อเมาส์
เช่นเดียวกับอุปกรณ์ input อื่น ๆ เมาส์ก็ต้องการการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์เพื่อที่จะส่งข้อมูลไปให้คอมพิวเตอร์ เมาส์ทั่ว ๆ ไปจะใช้สายไฟ เช่น RS-232C, PS/2, ADB หรือ USB โดยปัจจุบันที่นิยมใช้ที่สุด จะเป็น PS/2 และ USB ซึ่งค่อนข้างจะเกะกะ จึงมีผู้ประดิษฐ์เมาส์ไร้สายโดยส่งข้อมูลผ่าน อินฟราเรด, คลื่นวิทยุ, หรือ บลูทูธแทน
อินฟราเรด เป็นลักษณะของการถ่ายโอนข้อมูลคล้าย ๆ กับรีโมท (ทีวีหรืออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไปในบ้าน) โดยที่อุปกรณ์ส่งสัญญาณและรับสัญญาณต้องอยู่ในระนาบการส่งสัญญาณที่ตรงกันเท่านั้น (เช่นหัวของเมาส์ต้องหันหน้าไปที่ตัวรับสัญญาณตลอดเวลา) ซึ่งการใช้การส่งข้อมูลไร้สายในรูปแบบนี้ไม่เหมาะสมสำหรับอุปกรณ์ที่ต้องมีการเคลื่อนย้ายอยู่ตลอดเวลาอย่างเมาส์ จึงมีผู้ประดิษฐ์เมาส์ที่ส่งข้อมูลผ่านคลื่นวิทยุแทน
Radio mouse เป็นเมาส์ที่ส่งข้อมูลผ่านคลื่นวิทยุไร้สาย ตัวเมาส์ไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ในระนายเดียวกันกับตัวรับสัญญาณตลอดเวลา ทำให้ผู้ใช้สะดวกสบายมากขึ้น อีกทั้งเรื่องความได้เปรียบเกี่ยวกับระยะทางของสัญญาณ เมาส์สามารถใช้ได้ห่างจากตัวรับสัญญาณได้มากกว่าแบบ Infrared แต่เนื่องจากการใช้เมาส์ผ่านคลื่นวิทยุไร้สายนั้นเป็นการทำให้เกิดการกีดกันและรบกวนกันระหว่างสัญญาณของตัวเมาส์เอง กับระบบโทรศัพท์ไร้สายหรืออินเทอร์เน็ตไร้สายที่อยู่ในช่วงสัญญาณเดียวกัน และอีกทั้งปัญหาเกี่ยวกับการใช้เมาส์รุ่นเดียวกันมากกว่า 2 ชิ้น ทำให้เครื่องในรัศมีการรับสัญญาณของเมาส์ที่อยู่ในคลื่น A เหมือนกันนั้นตอบรับกับเมาส์ตัวอื่น เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วเมาส์ไร้สายจะสามารถปรับช่องสัญญาณได้เพียงแค่สองช่องเท่านั้น (A และ B)
เพราะฉะนั้นผู้ประดิษฐ์จึงหันไปพึ่งเทคโนโลยีไร้สายมาตรฐานระบบใหม่ ที่ใช้คลื่นความถี่วิทยุเช่นกันคือ บลูทูธ แต่เนื่องจากผู้คิดค้นและริเร่ิมระบบบลูทูธได้คาดคำจึงถึงปัญหาเนื่องจากมีผู้ใช้บลูทูธมากไว้แล้ว ทำให้ได้มีการวางแผนระบบการจับคู่อุปกรณ์ขึ้น ทำให้อุปกรณ์หนึ่งไม่ไปรบกวนหรือไปทำหน้าที่บนอีกอุปกรณ์หนึ่งอย่างที่ผู้ใช้ไม่ได้ต้องการ โดยก่อนที่จะใช้อุปกรณ์ด้วยกันจะต้องมีการจับคู่อุปกรณ์กันก่อน จึงจะสามารถใช้อุปกรณ์นั้น ๆ ด้วยกันได้ และความได้เปรียบในเรื่องของความเร็วที่สูงกว่า 40KB/วินาที ของระบบบลูทูธนั้น ทำให้มันสามารถนำไปใช้ได้กับหลากหลายตลาดการสื่อสาร เช่น หูฟังไร้สาย การส่งข้อมูลไร้สาย และรวมไปถึง ตีย์บอร์ดกับเมาส์นั่นเอง
Bluetooth mouse นั้นได้ถูกออกแบบมาเพื่อทำงานกับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทั้งแบบตั้งโต๊ะและแบบพกพา โดยบางเครื่องนั้นได้มีการติดตั้งตัวระบบส่งสัญญาณบลูทูธในเครื่องแล้วด้วย ทำให้ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้อุปกรณ์รับสัญญาณแยกออกมาจากเครื่อง ไม่ทำให้เกิดความเกะกะและรำคาญ Bluetooth mouse กำลังจะเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในเร็วๆ นี้ และเช่นกันสำหรับ Bluetooth keyboard

การเชื่อมต่อ
การอินพุตผ่านเมาส์นั้นมีหลายรูปแบบนอกเหนือไปจากการเลื่อนเมาส์เพื่อเลื่อนเคอร์เซอร์ เช่น การคลิก (การกดปุ่ม) คำว่าคลิกนั้นมีที่มาจากเสียงคลิกเวลาเรากดปุ่มเมาส์นั่นเอง เสียงนี้เกิดขึ้นจาก micro switch (cherry switch) และใช้แถบโลหะที่แข็งแต่ยืดหยุ่นเป็นตัวกระตุ้นสวิทช์ เมื่อเรากดปุ่ม แถบโลหะนี้ก็จะงอ และกระตุ้นให้สวิทช์ทำงานพร้อมทั้งเกิดเสียงคลิก และช่วยให้ภายในไม่มีภาวะสุญญากาศเกิดขึ้น นอกจากนี้นักวิจัยพบว่าผู้ใช้จะตอบสนองกับเสียงคลิกหลังจากกด มากกว่าความรู้สึกที่นิ้วกดลงไปบนปุ่ม

การใช้งานปุ่มโดยทั่วไป
เป็นการอินพุตที่ง่ายที่สุด โดยหมายรวมทั้งการกดปุ่มบนเมาส์ชนิดปุ่มเดียวและชนิดหลายปุ่ม โดยหากเป็นเมาส์ชนิดหลายปุ่ม จะเรียกการคลิกนี้ตามตำแหน่งของปุ่ม เช่น คลิกซ้าย, คลิกขวา

Single clicking
ดับเบิ้ลคลิกคือการกดปุ่ม 2 ครั้งติดต่อกันอย่างเร็ว ใน Macintosh Finder การคลิกจะเป็นการเลือกไฟล์ ส่วนการดับเบิ้ลคลิกนั้นจะเป็นการเปิดไฟล์ อย่างไรก็ดีการดับเบิ้ลคลิกนี้จะยากสำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านการเคลื่อนไหวของนิ้วมือ เมาส์แบบหลายปุ่มนั้นสามารถที่จะเซ็ทให้ปุ่มใดปุ่มนึงทำงานเหมือนการดับเบิ้ลคลิกด้วยการคลิกครั้งเดียวได้ และ OS ในปัจจุบันสามารถที่จะกำหนดช่วงสูงสุดที่จะคลิกปุ่ม 2 ครั้งให้เป็นดับเบิ้ลคลิกได้

Double-click
ทริปเปิ้ลคลิกเป็นการกดปุ่ม 3 ครั้งติดต่อกันอย่างรวดเร็ว ใช้มากที่สุดใน word processors และใน web browsers เพื่อที่จะเลือกข้อความทั้งย่อหน้า

Chords
คือการกดปุ่มบน object ค้างไว้แล้วลากไปที่ที่ต้องการ

Click-and-drag
mouse gesture เป็นวิธีการผสมผสานการเลื่อนและการคลิกเมาส์ ซึ่งซอฟต์แวร์ที่จะใช้ได้จะต้องจดจำคำสั่งพิเศษต่างๆ เหล่านี้ได้ เช่นในโปรแกรมวาดภาพ การเลื่อนเมาส์ในแนวแกน X อย่างรวดเร็วบนรูปร่างใดๆ จะเป็นการลบรูปร่างนั้น

Mouse gestures
ในปี 2000 Logitech ได้เปิดตัว tactile mouse ซึ่งมีชิ้นส่วนเล็ก ๆ ที่ทำให้เมาส์สั่นได้ ซึ่งเป็นการเพิ่มส่วนติดต่อกับผู้ใช้ที่เกี่ยวข้องกับการสัมผัส เช่นการสั่นเมื่อเคอร์เซอร์อยู่ที่ขอบของ window เมาส์แบบแปลกๆ อีกชนิดหนึ่งสามารถถือไว้ในมือโดยไม่ต้องวางบนพื้นผิว โดยสามารถจับการเคลื่อนไหวได้ถึง 6 มิติ (3 มิติ + การหมุนของ 3 แกน) ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายสำหรับการนำเสนอทางธุรกิจ เมื่อผู้พูดจะต้องยืนหรือเดินไปมา อย่างไรก็ดี เมาส์ชนิดนี้ไม่ได้รับความนิยมในวงกว้าง

Tactile mice
ความเร็วของเมาส์มีหน่วยเป็น DPI (Dots Per Inch) ซึ่งคือจำนวนพิกเซลที่เคอร์เซอร์จะเลื่อนได้เมื่อเลื่อนเมาส์ไป 1 นิ้ว Mouse acceleration/deceleration เป็นทริกของซอฟต์แวร์ที่สามารถทำให้เมาส์เลื่อนช้ากว่าหรือเร็วกว่าความเร็วปกติของมันได้ แต่มีอีกหน่วยนึงที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมคือหน่วย Mickey เพราะว่าค่า Mickey เกิดจากการนับ dot ที่เคอร์เซอร์เคลื่อนไปได้โดยคิดรวมถึง Mouse acceleration/deceleration ด้วย ทำให้ค่า Mickey สำหรับการใช้งานแต่ละครั้งอาจจะไม่เท่ากัน จึงไม่ได้รับความนิยม

ความเร็วของเมาส์

อุปกรณ์เสริม
เป็นอุปกรณ์เสริมที่ได้รับความนิยม ซึ่งช่วยให้เลื่อนเมาส์ได้อย่างราบรื่น เนื่องจากโต๊ะหลายชนิดไม่เหมาะที่จะใช้เลื่อนเมาส์โดยตรง เช่นไม้เนื้อหยาบหรือพลาสติกเพราะจะทำให้ด้านล่างของเมาส์เสียหายเร็วเกินไป optical mouse บางตัวไม่ต้องใช้กับเมาส์แพดเพราะได้รับการออกแบบให้ใช้กับผิวไม้ได้โดยตรง ส่วนเมาส์แบบลูกกลิ้งนั้นจะต้องใช้เมาส์แพดเนื่องจากลูกกลิ้งต้องการแรงเสียดทานที่น้อยกว่าปกติซึ่งจะช่วยให้ลูกกลิ้งหมุนได้อย่างราบรื่น

แผ่นรองเมาส์
Mouse feet cover ทำด้วยเทฟลอน ใช้แปะที่ด้านล่างของเมาส์ ซึ่งช่วยให้สามารถขยับเมาส์ได้สะดวกยิ่งขึ้น

เมาส์ Mouse feet covers
เป็นอุปกรณ์เสริมที่ช่วยจัดการกับสายเมาส์ที่ระโยงรพยางเกะกะ ดังนั้นอุปกรณ์ชิ้นนี้จึงไม่จำเป็นสำหรับเมาส์ไร้สาย

Cord managers
Gel wrist pad เป็นแผ่นนิ่มๆ ใช้รองใต้ข้อมือเพื่อเพิ่มความสบายขณะใช้เมาส์ โดยได้รับการออกแบบให้เข้ากับสรีระของมนุษย์ทำให้ลดความเมื่อยจากการใช้เมาส์เป็นเวลานานๆ ได้

Gel wrist pad
ในปี ค.ศ.1970 บริษัท Xerox PARC ได้ออกเมาส์รุ่น Xerox Star แต่ต่อมาบริษัท Apple ก็ออก Apple Lisa ออกมาแข่ง แต่อย่างไรก็ดีเมาส์ของทั้ง 2 บริษัทกลับไม่ประสบผลสำเร็จทางธุรกิจ จนกระทั่งการเปิดตัวของ Apple Macintosh ในปี 1984 ทำให้เมาส์ได้ใช้ในวงกว้างมากยิ่งขึ้น
การเปิดตัวของ Apple Macintosh มีอิทธิพลมาก เนื่องจากความสำเร็จของเครื่อง Apple Macintosh ทำให้ผู้ผลิตหลายรายเริ่มจะผลิตเมาส์กันมากขึ้น และเมื่อระบบ graphical user interfaces (GUI) เข้ามาในทศวรรษที่ 1980 และ 1990 ทำให้เมาส์เป็นอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้เมื่อจะใช้คอมพิวเตอร์ ในปี 2000 Dataquest (หน่วยงานทางด้านสถิติแห่งหนึ่งของสหรัฐฯ) ประมาณการว่าเมาส์ได้ถูกขายไปแล้วทั่วโลกรวมมูลค่าทั้งสิ้น 1.5 พันล้านดอลลาร์

ต ลาดของเมาส์
นอกจากเมาส์แบบปกติที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งมักจะเป็นเมาส์แบบใช้ด้วยมือ แต่ยังมีเมาส์แบบอื่นๆ อีก โดยทำสำหรับผู้ที่มักมีปัญหาเกี่ยวกับข้อมือเมื่อใช้เมาส์เป็นเวลานานๆ และผู้ที่ใช้เมาส์แล้วรู้สึกไม่สะดวก ซึ่งเมาส์แบบพิเศษนี้มีรูปแบบต่างๆ กันดังนี้

Trackball – ใช้โดยเคลื่อนบอลบนแท่น
Mini-mouse – เมาส์ขนาดไข่ไก่ ซึ่งออกแบบมาเพื่อสะดวกต่อการพกพา มักจะใช้กับแลปทอป
Camera mouse - กล้องที่จะจับการเคลื่อนที่ของศีรษะแล้วเลื่อนเคอร์เซอร์บนจอไปตาม
Palm mouse – ใช้ถือไว้ในมือ และสามารถเร่งความเร็วของเมาส์ได้โดยการกดให้แรงขึ้น
Foot mouse – แทนที่จะใช้นิ้วมือกด ก็มาใช้เท้ากดแทน
Joy-Mouse – เป็นการรวมกันระหว่างเมาส์และจอยสติก โดยการเลื่อนเคอร์เซอร์จะเปลี่ยนมาใช้การโยกจอยแทน เมาส์แบบอื่น
เมาส์มักจะถูกใช้ในการเล่นเกมคอมพิวเตอร์ โดยจะใช้ร่วมกับคีย์บอร์ด ซึ่งเมาส์นี้มักจะถูกยกไปอ้างเป็นข้อได้เปรียบของเกมคอมพิวเตอร์ที่วิดีโอเกมไม่มี

First-person shooters
ในหลายๆ เกม เช่น เกมแนว FPS หรือ TPS จะมีการตั้งค่าแบบหนึ่งเรียกว่า "invert mouse" หรือใกล้เคียง มันจะทำให้ผู้ใช้มองลงด้านล่างด้วยการเคลื่อนเมาส์ไปข้างหน้า และมองไปด้านบนเมื่อเลื่อนเมาส์ถอยหลัง (ตรงข้ามกับการตั้งค่าแบบปกติ) ระบบการควบคุมแบบนี้คล้ายกับการบังคับอากาศยานซึ่งการดึงคันโยกเข้าหาตัวจะทำให้เครื่องลอยขึ้นสูง และการโยกคันโยกออกจากตัวจะทำให้เครื่องลดระดับลง ต่อมาระบบการควบคุมแบบนี้ ก็ถูกนำมาใช้กับจอยสติกด้วยเช่นกัน

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2550

Saxophone
แซกโซโฟน (saxophone) เป็นเครื่องดนตรีในตระกูลเครื่องลมไม้ ใช้ลิ้นเดี่ยวเหมือนของคลาริเนต แม้ว่าตัวเครื่องมักจะทำด้วยโลหะแต่สุ้มเสียงก็กระเดียดมาทางเครื่องลมไม้แซกโซโฟนจึงได้รับฉายาว่า "คลาริเนตทองเหลือง" (brass clarinet) แบร์ลิออซได้กล่าวว่าเสียงของแซกโซโฟนคือการผสมผสานเข้าด้วยกัน ระหว่าง ซอเชลโล ปี่คอร์อังแกลส์และปี่คลาริเนท แซกโซโฟนจะเล่นกระซิบกระซาบ อ่อนหวานนุ่มนวล หรือจะแผดให้แสบโสตประสาทก็ทำได้ จึงเหมาะสำหรับใช้เป็นเครื่องดนตรีบรรเลงเดี่ยว

ประวัติ
อดอล์ฟ แซก (Adolphe Sax) มีชื่อจริงว่า Antoine - Joseph Sax แต่คนทั่วไปเรียกเขาว่า Adolphe Sax เป็นชาวเบลเยียมเกิดที่เมืองดินานท์ (Dinant) เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1814 บิดาชื่อ ชาร์ล โจเซฟ แซก (Charles Foseph Sax) เป็นนักดนตรีเป่าฟลุตและคลาริเนต นอกจากนี้แล้วบิดาของเขายังมีโรงงานประดิษฐ์เครื่องดนตรี โดยเฉพาะเครื่องลมไม้และเครื่องทองเหลืองอยู่ที่เมืองดินานท์อีกด้วย ประมาณปี ค.ศ. 1815 บิดาเขาได้ย้ายโรงงานไปอยู่ที่กรุงบรัสเซลส์ อดอล์ฟ แซก ได้เรียนรู้และได้รับการถ่ายทอดวิชาซ้อมและประดิษฐ์เครื่องดนตรีจากบิดา ในขณะเดียวกันอดอล์ฟ แซก ยังได้ศึกษาดนตรีที่สถาบันดนตรีแห่งกรุงบริสเซลส์ โดยเรียนเป่าฟลุคและคลาริเนต ในปี ค.ศ. 1830 อดอล์ฟแซก ได้ประดิษฐ์เครื่องดนตรีซึ่งทำด้วยงาช้าง แสดงในงานนิทรรศการเครื่องดนตรีที่กรุงบรัสเซลส์ ในปี ค.ศ. 1838 เขาได้จดทะเบียนลิขสิทธิ์ในการประดิษฐ์เบสคลาริเนต ระหว่างปี ค.ศ. 1840-1841 เขาได้ประดิษฐ์แซกโซโฟนและได้นำออกแสดงในงานนิทรรศการเครื่องดนตรีที่กรุงบรัสเซลส์ในปี ค.ศ. 1841 แต่คณะกรรมการไม่ได้มอบรางวัลให้แก่เขาเลย โดยอ้างว่าอายุยังน้อย ในที่สุดเขาได้ย้ายไปตั้งร้านซ่อมและประดิษฐ์เครื่องดนตรีที่กรุงปารีสใน ค.ศ. 1842 ร้านของเขาได้รับความนิยมมากที่สุดในยุโรปโดยเฉพาะเครื่องลมไม้และเครื่องทองเหลืองในสมัยนั้น ในระหว่างปี ค.ศ. 1842-1845 เขาได้ประดิษฐ์เครื่องดนตรีตระกูลทองเหลือง เรียกว่า แซกฮอร์น และได้จดทะเบียนสิทธิบัตรที่กรุงปารีส ในปี ค.ศ. 1845 ในขณะเดียวกันเขาพยายามพัฒนาแซกโซโฟนจนสมบูรณ์และได้จดทะเบียนสิทธิบัตรในปี ค.ศ 1846 ที่กรุงปารีส
Baritone (เสียงระดับกลางของชาย) Bass (เสียงต่ำมากของผู้ชาย)
แซกโซโฟนเป็นปี่ที่มีอายุน้อยมากเมื่อเทียบกับปีอื่น ๆ ปี่ชนิดนี้เพิ่งจะประดิษฐ์ขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1840 ที่นครปารีส โดยนาย อดอล์ฟ แซก (ค.ศ. 1814-1894) นักประดิษฐ์เครื่องดนตรีชาวเบลเยียม แซกไม่เพียงแต่ประดิษฐ์เครื่องดนตรีตระกูลแซกโซโฟนเท่านั้น เขายังประดิษฐ์เครื่องดนตรีตละกูล
แซกฮอร์น (Saxhorn family) อีกด้วย แซกประดิษฐ์แซกโซโฟนได้อย่างไรนั้นเรื่องมีอยู่ว่า ก่อนหน้าค.ศ. 1840 เล็กน้อย ได้มีนายวงโยธวาทิตผู้หนึ่งมาติดต่อแซกให้เขาประดิษฐ์เครื่องเป่าชนิดใดก็ได้ ซึ่งสามารถเล่นให้เสียงดังเพื่อใช้ในวงโยธวาทิต และต้องการให้เครื่องดนตรีใหม่นี้มีเสียงคล้ายเครื่องลมไม้ด้วย เมื่อเช่นนั้นแซกจึงได้นำเอาเครื่องดนตรีประเภทเครื่องทองเหลืองชนิดหนึ่งที่ล้าสมัยแล้ว เรียกว่า " โอฟิไคลด์" (ophiclcide) มาถอดที่เป่าอันเดิมออกแล้วเอาที่เป่าคลาริเนทใส่แทน จากนั้นเขาก็แก้กลไลของกระเดื่องที่ปิดรูอีกเล็กน้อย เพียงเท่านี้แซกโซโฟนเลาแรกของโลกก็ได้เกิดขึ้น เมื่อแซกโซโฟนประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ๆ ก็ได้นำไปใช้ในวงโยธวาทิตของฝรั่งเศสต่อมาเมื่อนักดนตรีแจ๊สซึ่งแต่เดิมมีแต่คลาริเนท คอร์เนท และทรอมโบนเป็นเครื่องดนตรีสำคัญได้มีการพัฒนาการขึ้น ก็นำเอาแซกโซโฟนไปใช้ จนในที่สุดปี่ชนิดนี้ได้กลายเป็นเครื่องดนตรีที่วงแจ๊สจะขาดเสียมิได้

สมบัติ จำปาเงิน. (2523 : 45) ได้กล่าวประวัติของแซกโซโฟนไว้อีกคือ ตามประวัติว่านักเป่าคลาริเนตชื่อดังคนหนึ่งเป็นผู้ประดิษฐ์ เนื่องจากนายคนนี้มีชื่อว่าแซก (sax) ปีที่เขาประดิษฐ์ขึ้นเลยได้ชื่อว่าแซกโซโฟน นับว่าชื่อได้เหมาะสมมาก ตอนแรกปากเป่าทำด้วยไม้เช่นเดียวกับคลาริเนต แต่ลำตัวทำด้วยหลอดโลหะ กว้างบานออกรูปทรงโค้งทำนองของเขาสัตว์จึงมีลักษณะประสมประสานระหว่างเครื่องเป่า (ทำด้วยไม้) กับเครื่องทองเหลือง (ทำด้วยโลหะ) ใช้ในวงออร์เคสตราในบางโอกาส ที่ใช้มากคือในวงดนตรีแจ๊สและวงเต้นรำ แซกโซโฟนยังแบ่งออกเป็นหลายชนิดตามลำดับเสียง เช่น Soprano (เสียงสูงผู้หญิง) Alto (เสียงต่ำผู้หญิง) Tenor (เสียงสูงผู้ชาย)
ไขแสง ศุขะวัฒนะ. (2530 : 44) ได้กล่าวประวัติซึ่งเกี่ยวกับแซกโซโฟนไว้ว่า

วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2550

คอบร้าโกลด์
คอบร้าโกลด์ (อังกฤษ: Cobra Gold ตัวย่อ CG) เป็นการฝึกร่วม/ผสมทางการทหารระดับพหุภาคีที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในประเทศไทย เริ่มครั้งแรกจากการฝึกทวิภาคีระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกาเมื่อปี พ.ศ. 2525 ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นแบบพหุภาคีโดยมีประเทศอื่น ๆ เข้าร่วม ได้แก่ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และญี่ปุ่น
วัตถุประสงค์ของการฝึกคอบร้าโกลด์ คือ ปรับปรุงการทำงานร่วมกัน แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างชาติต่าง ๆ ที่เข้าร่วมในการฝึก นอกจากนี้ยังช่วยส่งเสริมความสงบสุขและความมั่นคงในภูมิภาค การตอบสนองที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพหลังเหตุการณ์คลื่นสึนามิที่เกิดจากแผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดีย พ.ศ. 2547 ส่วนหนึ่งเป็นผลที่ได้รับจากการฝึกร่วม/ผสมนี้

ประวัติ
หลังสงครามโลกครั้งที่สองและในยุคสงครามเย็น ประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกามีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มุ่งเน้นด้านความมั่นคง ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากปัจจัยภายนอกที่สำคัญได้แก่ภัยคุกคามจากลัทธิคอมมิวนิสต์ ทั้งสองประเทศได้เริ่มมีการฝึกทางทหารร่วมกันในปี พ.ศ. 2499 เป็นการฝึกผสมยกพลขึ้นบกระหว่างกองทัพเรือไทยกับกองทัพเรือและหน่วยบัญชาการนาวิกโยธินสหรัฐฯ
ต่อมาเพื่อให้การฝึกมีลักษณะบูรณาการมากขึ้น กองทัพไทยและกองทัพสหรัฐอเมริกาได้เริ่มการฝึกร่วม/ผสมภายใต้รหัส "คอบร้าโกลด์" ในปี พ.ศ. 2525 ครั้งนั้นกองทัพเรือไทยและกองทัพอากาศไทยจัดกำลังเข้าร่วมการฝึกโดยดำเนินการฝึกปฏิบัติการทางเรือ ทางอากาศ และการยกพลขึ้นบก ร่วมกับกองทัพเรือและนาวิกโยธินสหรัฐอเมริกา กำหนดรหัสว่า "คอบร้าโกลด์ 82"
ต่อมาในปี พ.ศ. 2526 กองทัพบกไทยได้จัดหน่วยรบพิเศษเข้าร่วมการฝึกอีกเหล่าทัพหนึ่ง กล่าวได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกร่วมและผสมครบทั้งสามเหล่าทัพเป็นครั้งแรกในประเทศไทย หลังจากนั้นกองบัญชาการทหารสูงสุดได้เข้ารับผิดชอบดำเนินการฝึกคอบร้าโกลด์ 86 ในปี พ.ศ. 2529 โดยเน้นการฝึกหน่วยทหารในการปฏิบัติการรบตามแบบ ด้วยกำลังขนาดใหญ่ระดับกองกำลังเฉพาะกิจร่วมและผสม เข้าปฏิบัติการในยุทธบริเวณ และดำเนินการฝึกต่อเนื่องเป็นประจำทุกปีมาจนถึงปัจจุบัน มีกำลังจากกองทัพไทยทุกเหล่าทัพเข้าร่วมฝึกหมุนเวียนไปตามกองทัพภาคและกองเรือภาค ในปัจจุบันการฝึกคอบร้าโกลด์ถือได้ว่าเป็นการฝึกร่วมและผสมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมื่อสงครามเย็นยุติลง สถานการณ์ด้านความมั่นคงที่เปลี่ยนแปลงไปโดยแนวโน้มของการเกิดสงครามขนาดใหญ่มีความเป็นไปได้น้อย พ.ศ. 2543 การฝึกคอบร้าโกลด์จึงได้เพิ่มรูปแบบการฝึกให้มีปฏิบัติการทางทหารนอกเหนือจากสงคราม ภายใต้กรอบของสหประชาชาติเข้าไว้ด้วย เช่น การรักษาสันติภาพ การต่อต้านการก่อการร้าย การบรรเทาภัยพิบัติทางธรรมชาติ และอื่น ๆ มีการขยายขอบเขตการฝึกจากการฝึกแบบทวิภาคีเป็นการฝึกเป็นพหุภาคี โดยสิงคโปร์เป็นชาติแรกที่เข้าร่วม นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้ประเทศที่สนใจจัดผู้แทนเข้าร่วมสังเกตการณ์การฝึกได้

วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2550


สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช หรือ ขุนพิเรนทรเทพ (กรมพระตำรวจฝ่ายขวา) ทรงสืบเชื้อสายข้างพระราชบิดามาจากราชวงศ์พระร่วงแห่งกรุงสุโขทัย ส่วนพระราชมารดานั้นกล่าวกันว่าเป็นราชนิกูลในราชวงศ์สุพรรณภูมิแห่งกรุงศรีอยุธยา

ยอมอ่อนน้อมต่อหงสาวดี
สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ครองกรุงศรีอยุธยาในฐานะประเทศราชของพม่าอยู่ถึง ๑๕ ปี จนถึง พ.ศ. ๒๑๒๗ สมเด็จพระนเรศวร องค์รัชทายาทก็ได้ทรงประกาศอิสระภาพ ในห้วงระยะเวลา ๑๐ ปี แรกในรัชสมัยของพระองค์ เขมรได้ส่งกำลังมาโจมตีหัวเมืองทางตะวันออกและรุกเข้ามาถึงชานพระนคร แต่ฝ่ายไทยก็สามารถต่อสู้ขับไล่เขมรกลับไปได้ พระองค์ทรงเห็นเป็นโอกาสในการป้องกันพระนคร จึงได้บูรณะซ่อมแซมกำแพงและป้อมต่าง ๆ รอบพระนครให้แข็งแรงขึ้น กล่าวคือ ในปี พ.ศ. ๒๑๒๓ ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ขุดคูพระนครทางด้านทิศตะวันออก หรือคูขี่อหน้า ซึ่งแต่เดิมแคบข้าศึกสามารถเข้ามาสู่พระนครได้สะดวกกว่าด้านอื่น โปรดเกล้า ฯ ให้รื้อกำแพงพระนครด้านทิศตะวันออก แล้วสร้างให้ไปจรดริมฝั่งแม่น้ำเช่นเดียวกับด้านอื่น ๆ ทรงสร้างป้อมมหาชัย ตรงบริเวณที่แม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำป่าสักไหลมาบรรจบกัน และสร้างพระราชวังจันทร์เกษม (วังหน้า) สำหรับใช้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวร ไว้คอยสกัดกั้นทัพข้าศึกที่เข้าโจมตีพระนครทางด้านทิศตะวันออก
ขุนพิเรนทรเทพ

วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2550

UPU
สหภาพสากลไปรษณีย์ (อังกฤษ: Universal Postal Union, UPU) เป็นองค์การระหว่างประเทศ ทำหน้าที่ประสานงานนโยบายการไปรษณีย์ระหว่างประเทศสมาชิก ซึ่งประเทศสมาชิกแต่ละประเทศตกลงในนโยบายจัดการไปรษณีย์ภัณฑ์ระหว่างประเทศ

UPU ข้อกำหนดสำหรับประเทศสมาชิก
ข้อกำหนดที่สหภาพสากลไปรษณีย์กำหนดขึ้นเช่น
สหภาพสากลไปรษณีย์ยังเป็นผู้บริหารระบบวิมัยบัตร ซึ่งเป็นบัตรที่สามารถซื้อในประเทศหนึ่งและแลกเป็นแสตมป์ในทุกประเทศที่เป็นสมาชิก

อัตราค่าส่งจดหมายไปยังประเทศปลายทางต่าง ๆ ควรมีอัตราใกล้เคียงกัน
หน่วยงานไปรษณีย์ควรให้ความสำคัญกับจดหมายในประเทศและจดหมายระหว่างประเทศเท่า ๆ กัน
หน่วยงานไปรษณีย์ของประเทศต้นทางเป็นฝ่ายที่เก็บค่าไปรษณีย์ทั้งหมด โดยไม่ต้องแบ่งให้กับประเทศทางผ่าน หรือประเทศที่เป็นปลายทางของจดหมาย ซึ่งข้อตกลงนี้มีการเปลี่ยนแปลงภายหลังโดยเพิ่มค่าธรรมเนียมระหว่างหน่วยงานไปรษณีย์ โดยคิดจากผลต่างของน้ำหนักจดหมายในขาไปและขากลับ

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2550

ค.ศ. 240
พุทธศักราช 783 ใกล้เคียงกับ

เมษายน ค.ศ. 240 - มีนาคม ค.ศ. 241
มหาศักราช 162 วันเกิด

วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2550

คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม
วิกิพีเดียยังไม่มีบทความที่ตรงกับชื่อนี้
เริ่มบทความ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัย
ค้นหา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัย ในบทความอื่น ๆ
ดูบทความที่กล่าวถึง คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัย
ถ้าคุณสร้างหน้านี้แล้วเมื่อไม่นานมานี้แต่มันยังไม่ปรากฏขึ้น เป็นไปได้ที่จะมีการล่าช้าในปรับปรุงฐานข้อมูล ลองล้างข้อมูลเก่าในเครื่อง หรือกรุณารอสักครู่และตรวจดูอีกครั้งก่อนที่ท่านจะลองสร้างหน้าใหม่
ถ้าคุณสร้างบทความชื่อเรื่องนี้ก่อนหน้านี้ มันอาจจะถูกลบไปแล้ว ดู ปูมการลบ และทำไมหน้าถึงโดนลบ
ถ้าต้องการถามคำถามเกี่ยวกับ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัย ให้ลองถามที่ ปุจฉา-วิสัชนา

วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2550


สำหรับความหมายอื่นของ บล็อก ดูได้ที่ บล็อก (แก้ความกำกวม)
บล็อก (อังกฤษ: blog) หรือ เว็บล็อก (weblog) เป็นหน้าเว็บประเภทหนึ่ง ซึ่งคำว่า blog ย่อมาจากคำว่า weblog หรือ web log โดยคำว่า weblog นั้นมาจาก web (เวิลด์ไวด์เว็บ) และ log (ปูม, บันทึก) รวมกัน หมายถึง บันทึกบนเวิล์ดไวด์เว็บ นั่นเอง
ในปัจจุบันบล็อก ถูกใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารรูปแบบใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการประกาศข่าวสาร การแสดงความคิดเห็น การเผยแพร่ผลงาน ฯลฯ และกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยขณะนี้ได้มีผู้ให้บริการบล็อกมากมาย ทั้งแบบให้บริการฟรี และเสียค่าใช้จ่าย

Blog ผู้ให้บริการบล็อก
ด้วย Wordpress

BlogGang.com โดย พันทิป.คอม
BlogKa.com ให้บริการพื้นที่บล็อกฟรี ด้วย Wordpress
BlogRevo.com ให้บริการพื้นที่บล็อกฟรีด้วยระบบ WordPress ให้พื้นที่ 1 จิกะไบต์
CheckBlog
Exteen
GotoKnow โดยสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม
Hunsa Blog โดย หรรษา.คอม
iBlog.co.thให้บริการฟรีบล็อก
MBlog โดย เวบผู้จัดการออนไลน์
Mthai Blog ให้บริการพื้นที่บล็อกฟรี
OK nation Blog โดย เดอะเนชั่น
StoryThai โดย สตอรี่ไทยดอตคอม
Sanook! Blog โดย สนุก!.คอม
Kapook Planet โดย กระปุก.คอม
Blog.Se-ed.net โดย ซีเอ็ด.เน็ต ให้บริการพื้นที่บล็อกฟรี
O2Blog โดย www.thaimisc.com ผู้ให้บริการฟรีเว็บบอร์ดของไทย

วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2550

อำเภอเมืองสุโขทัย
อำเภอเมืองสุโขทัย เป็นศูนย์กลางการบริหารราชการ ศูนย์กลางธุรกิจ และวัฒนธรรมของจังหวัดสุโขทัย

การปกครองส่วนภูมิภาค
อำเภอเมืองสุโขทัยแบ่งเขตการปกครองย่อยออกเป็น 10 ตำบล 97 หมู่บ้าน ได้แก่

ธานี (Thani)
บ้านสวน (Ban Suan)
เมืองเก่า (Mueang Kao)
ปากแคว (Pak Khwae)
ยางซ้าย (Yang Sai)
บ้านกล้วย (Ban Kluai)
บ้านหลุม (Ban Lum)
ตาลเตี้ย (Tan Tia)
ปากพระ (Pak Phra)
วังทองแดง (Wang Thongdaeng)

วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2550


เมื่อกล่าวถึงคำว่า การศึกษา เราหมายความถึงทั้งการเรียน การสอน ทักษะเฉพาะ และสิ่งที่แม้จะจับต้องไม่ได้แต่เป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง กล่าวคือ การถ่ายทอดความรู้ ทักษะการตัดสินที่ดี และภูมิปัญญา เป้าหมายพื้นฐานอีกประการหนึ่งของการศึกษา คือ การถ่ายทอดวัฒนธรรมจากรุ่นไปสู่รุ่น (ดู การขัดเกลาทางสังคม (socialization)) อีกความหมายหนึ่งของ การศึกษา คือ การพัฒนาคน ซึ่ง การพัฒนา หมายถึง การแก้ไขข้อบกพร่องให้ดีขึ้น / การเสริมข้อดีให้คงสภาพหรือดียิ่งขึ้น เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าการศึกษานั้นเป็นขบวนการที่ใช้เวลาทั้งชีวิต มีการวิจัยในเด็กที่อยู่ในท้องแม่ พบว่าเด็กนั้นมีการเรียนรู้ในครรภ์แม้แต่ก่อนแรกเกิด
การจัดการศึกษาโดยทั่วไปในประเทศไทย แบ่งออกเป็นระดับ ดังนี้
การศึกษาถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของชีวิต โดยเฉพาะสังคมโลกปัจจุบันในยุคโลกาภิวัตน์ ยุคของการบริโภคข่าวสารข้อมูลไร้พรหมแดน นานาประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศผู้นำความเจริญทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีได้ให้ความสำคัญของการศึกษาแก่ประชากรชาติอย่างมาก มีการจัดสรรงบประมาณในการให้การศึกษาแก่ประชาชนในลำดับต้น ๆ ของการจัดสรรงบประมาณในแต่ละประเภทของประเทศ เช่นเดียวกันกับประเทศไทยได้ให้ความสำคัญของการให้การศึกษาประชาชนโดยมีการจัดสรรงบประมาณของรัฐในการบริหารประเทศด้านการศึกษาในระดับต้นมาตลอดทุกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ของประเทศไทยตั้งแต่แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540 -2544) จนถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (ฉบับปัจจุบัน พ.ศ.(2550 – 2554) ได้มุ่งเน้นความสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งถือว่าเป็นทรัพยากรหลักที่สำคัญในการพัฒนาทุกด้าน การพัฒนาประเทศระบุให้ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา ทางด้านกฎหมายทางการศึกษาได้แก่ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ก็ระบุไว้ชัดเจนว่า จะมุ่งเน้นการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำเนินชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข การศึกษาของประเทศไทยมีพัฒนาการอันยาวนานตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย ที่มีการกำหนดให้มีอักษรไทยขึ้น และมีการจัดการเรียนการสอนเฉพาะข้าราชการและบุคลากรในวงจำกัดเท่านั้น ประชาชนทั่วไปจะเข้ารับการศึกษาจากผู้รู้และพระสงฆ์ในวัดเป็นส่วนใหญ่ การจัดการศึกษาในประเทศไทยเริ่มมาจากการติดต่อสื่อสารกับต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศทางตะวันตก มีการส่งลูกหลาน ข้าราชบริภาร และเชื้อพระวงศ์ไปเข้ารับการศึกษาในต่างประเทศมากขึ้น จนถึงสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเริ่มจัดตั้งโรงเรียนให้การศึกษาแก่ประชาชนขึ้นทั้งในพระราชวัง กรุงเทพฯ และขยายไปยังภูมิภาคในรัชกาลที่ 6 เป็นต้นมา สำหรับด้านการศึกษาผู้ใหญ่ก็มีพัฒนาการอันยาวนานเช่นเดียวกัน ที่เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนเมื่อปี พ.ศ. 2480 เมื่อประเทศไทยโดยรัฐบาลมีการสำรวจพบว่าประชากรชาติจำนวน 48.9% ยังอ่านหนังสือไม่ออกเขียนหนังสือไม่ได้ ทำให้รัฐบาลหันมาให้ความสำคัญและสนใจในการแก้ไขปัญหาผู้ไม่รู้หนังสือ โดยจัดตั้งกองการศึกษาผู้ใหญ่ ขึ้นเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2483 สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้มีหน้าที่หลักการจัดการศึกษาผู้ใหญ่ ลดอัตราการไม่รู้หนังสือ การให้การศึกษาเพื่อการรู้หน้าที่พลเมือง และการสร้างเสริมระบอบประชาธิปไตย และในปี พ.ศ. 2490 กระทรวงศึกษาธิการได้ร่วมกับองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้จัดการศึกษาผู้ใหญ่หลักสูตรมูลฐาน (Fundamental Education) โดยมีการกำหนดการเรียนรู้ด้านอาชีพให้กับผู้ใหญ่ควบคู่ไปกับการเรียนรู้หนังสือ และหน้าที่พลเมืองในระบอบประชาธิปไตย และในปี พ.ศ. 2497 UNESCO และกระทรวงศึกษาธิการได้จัดตั้งศูนย์อบรมการศึกษาผู้ใหญ่จังหวัดอุบลราชธานี (ศ.อ.ศ.อ.) เพื่อผลิตผู้นิเทศทางด้านการศึกษาพื้นฐานที่จะร่วมทำงานกับประชาชนในชนบท ให้ประชาชนเข้าใจสิ่งแวดล้อม แก้ไขปัญหาด้วยตนเอง รวมทั้งให้ความรู้ในการใช้วัสดุอุปกรณ์ในท้องถิ่น เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของตนเอง ใช้หลักสูตร การศึกษา 2 ปี ผู้จบการศึกษาจะได้รับประกาศนียบัตรระดับประโยคครูมัธยมทางด้านการศึกษาพื้นฐาน ในปี พ.ศ. 2503 ประเทศไทยมีการสำรวจสำมะโนประชากร พบว่าประชาชนอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป มีสภาพการไม่รู้หนังสือจำนวน ร้อยละ 23 ทำให้รัฐบาลหวนกลับมาให้ความสนใจในการขจัดการไม่รู้หนังสืออีกครั้งหนึ่ง กระทรวงศึกษาธิการได้พัฒนาหลักสูตรการศึกษาผู้ใหญ่ระดับ 1-2 โดยมีการผสมผสานการรู้หนังสือกับการสอนวิชาชีพเข้าด้วยกัน และปี พ.ศ. 2511 ได้นำแนวทางของ UNESCO มาแก้ไขผู้ไม่รู้หนังสือเรียกว่า " การแก้ไขการไม่รู้หนังสือแบบสมกิจ" (Functional Literacy หรือ Worked Olientation Program) และพัฒนามาเป็น "หลักสูตรการศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จ" โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนในชนบท มุ่งเน้นให้ประชาชนนำข้อมูล 3 ด้าน ได้แก่ ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และข้อมูลทางด้านวิชาการ มาตัดสินใจแก้ไขปัญหาชีวิตประจำวัน และต่อมาได้รับการพัฒนาเป็นแนวคิด หลักการ และปรัชญา "คิดเป็น" ที่นักการศึกษาและผู้ปฏิบัติงานด้านการศึกษาผู้ใหญ่และการศึกษานอกโรงเรียนยึดถือเป็นแนวทางในการทำงานและการปฏิบัติต่อไป ในปี พ.ศ. 2517 มีการจัดโครงการจัดการศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จประเภทอาสาสมัครเดินสอน ควบคู่ไปกับการจัดการศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จประเภทชั้นเรียน และขยายการจัดการศึกษาเป็นวงกว้างขึ้นในรูปแบบและวิธีการต่าง ๆ เช่นการสอนโดยนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา การสอนโดยพระภิกษุ และการจัดการศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จประเภทชาวเขา เป็นต้น จนถึง พ.ศ. 2522 รัฐบาลออกพระราชบัญญัติจัดตั้ง กรมการศึกษานอกโรงเรียนขึ้นเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2522 โดยให้หน่วยงานที่จัดการศึกษาผู้ใหญ่และการศึกษานอกโรงเรียนของกระทรวงศึกษามาเป็นหน่วยงานสังกัดเดียวกัน เพื่อให้การจัดการศึกษานอกโรงเรียนเป็นเอกภาพยิ่งขึ้น และในปี พ.ศ. 2526 รัฐบาลมีการแก้ไขปัญหาการไม่รู้หนังสือของประชากรชาติครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งเรียกว่า "โครงการรณรงค์เพื่อการรู้หนังสือแห่งชาติ" เพื่อขจัดคนไม่รู้หนังสืออายุระหว่าง 15-60 ปี ตามบัญชีรายชื่อให้หมดสิ้นภายในปี พ.ศ. 2530 ซึ่งก็ถือได้ว่าประสบผลสำเร็จได้ในระดับหนึ่ง แนวคิดทางการศึกษาตลอดชีวิต และการศึกษาเพื่อปวงชนได้ถูกนำมาพิจารณาและใช้ในการจัดการศึกษานอกโรงเรียนมากขึ้นเริ่มตั้งแต่การขยายหน่วยจัดและบริการการศึกษานอกโรงเรียนไปสู่ในพื้นที่มากขึ้น มีการทดลองดำเนินการศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนอำเภอขึ้นในปี พ.ศ. 2530 ทั่วประเทศ จำนวน 125 อำเภอ เพื่อกระจายการบริหารการจัดการศึกษานอกโรงเรียนไปสู่ระดับอำเภอ และมีการประกาศจัดตั้งสถานศึกษา "ศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอ/เขต" โดยกระทรวงศึกษาธิการครบทุกอำเภอ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน โดยมีแนวคิดว่าจะขยายการจัดและบริการการศึกษานอกโรงเรียนและการจัดการศึกษาตามอัธยาศัยไปสู่ประชาชนให้สะดวกและขยายได้มากที่สุด แนวคิดและแรงผลักดันของการจัดการศึกษาเพื่อปวงชน และการศึกษาตลอดชีวิตที่สำคัญอีกส่วนหนึ่ง ได้แก่ การประชุมนานาชาติ ว่าด้วยการจัดการศึกษาเพื่อปวงชน ณ โรงแรมแอมบาสเดอร์ หาดจอมเทียน พัทยา จังหวัดชลบุรี ที่ดำเนินการจัดโดย UNESCO เมื่อปี พ.ศ. 2533 ซึ่งในที่ประชุมประเทศสมาชิกได้กำหนดข้อตกลงร่วมกันที่เรียกว่า "ปฏิญญาสากลว่าด้วยการจัดการศึกษาเพื่อปวงชน" (World Declaration on Education for All) เป็นพันธกิจที่กำหนดให้ประเทศสมาชิกจะดำเนินการจัดการศึกษาเพื่อปวงชน ตามแนวทางการศึกษาตลอดชีวิต ซึ่งประกอบด้วย 3 กิจกรรมหลัก คือ การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน (Primary-Secondary Education) การส่งเสริมความรู้และทักษะพื้นฐานเพื่อการดำรงชีวิต (Literacy) และ การศึกษาต่อเนื่อง (Continuing Education) ซึ่งประเทศไทยเป็นทั้งเจ้าภาพในการจัดประชุมดังกล่าว และเป็นประเทศสมาชิก UNESCO ด้วย จึงให้ความสำคัญและส่งเสริมการจัดการศึกษาให้แพร่หลายกว้างขวาง ไปสู่ประชาชนทุกกลุ่มให้ได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง ในรูปแบบและวิธีการที่หลากหลายเช่นเดียวกัน สำหรับในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นจังหวัดที่มีอาณาเขตติดต่อกับชายแดนประเทศสหภาพพม่ายาวกว่า 400 กิโลเมตร มีประชากรหลากหลายชาติพันธุ์ ได้แก่ กะเหรี่ยง ไทยใหญ่ มูเซอ ลีซอ ม้ง ปะโอ ลั่วะ จีนฮ่อ และชนพื้นเมือง มีสภาพการเคลื่อนย้ายประชากรค่อนข้างสูงรวมถึงผู้อพยพพลัดถิ่น และหนีภัยจากการสู้รบประเทศเพื่อนบ้านจำนวนมาก กอบร์กับภูมิประเทศเป็นภูเขาสูง ทุรกันดาร การคมนาคมไม่สะดวก ก่อให้เกิดสภาพการศึกษาต่ำ มีผู้ไม่รู้หนังสือ สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานของ จปฐ. จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พ.ศ. 2548 ประชากรวัยแรงงานอายุ 15 – 60 ปี มีการศึกษาเฉลี่ย เพียง 3.68 ปี เท่านั้น ในระหว่างที่การศึกษาของประชากรชาติอยู่ที่ 8.6 ปี สภาพของคุณภาพชีวิตที่ต่ำกว่าเกณฑ์ จปฐ. หลายด้าน รวมทั้งด้านสุขภาพอนามัยและรายได้ ปัญหาของประชากร และสิ่งแวดล้อมในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ส่งผลให้ประชากรโดยเฉพาะวัยแรงงานให้ความสนใจเข้ารับบริการการศึกษาจากภาครัฐน้อย เพราะประชาชนมองไม่เห็นความสำคัญของการศึกษา และเห็นว่าการประกอบอาชีพและการทำมาหากินมีความสำคัญมากกว่าการเข้ารับการศึกษา เพราะในอดีตที่ผ่านมาการศึกษาสำหรับกลุ่มผู้ด้อยโอกาสอย่างเช่นจังหวัดแม่ฮ่องสอน การศึกษาที่รัฐจัดให้นั้นมีความแปลกแยกจากวิถีชีวิตจริง ประชาชนไม่รู้จะนำเอาองค์ความรู้ที่ได้รับการศึกษานั้นมาใช้กับชีวิตของตนเอง ครอบครัว และชุมชน ในบริบทของตนเองได้อย่างไร การศึกษาของรัฐจึงไม่ได้รับความสนใจจากประชาชนได้เท่าที่ควร แนวคิดของการจัดการศึกษาเพื่อปวงชน (Education for All และ All for Education) หรือปวงชนเพื่อการศึกษา เพื่อให้การศึกษาตอบสนองความต้องการ และความจำเป็นอย่างแท้จริง รวมถึงการนำเอาชุมชนที่มีศักยภาพมาช่วยเหลือ และจัดการศึกษาให้กับประชาชนในชุมชนนั้น ๆ ที่ผู้วิจัย มีความสนใจ และศึกษานำมาเป็นแนวทางการการจัดการศึกษาเพื่อปวงชนในชุมชน โดยใช้ชื่อที่ชุมชน ผู้ปฏิบัติงานสามารถเข้าใจได้ง่ายว่า "รูปแบบการจัดการศึกษา 100% ในชุมชน" วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษารูปแบบของการจัดการศึกษา 100% ในชุมชน จังหวัดแม่ฮ่องสอน 2. เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลให้การจัดการศึกษา 100% ในชุมชนประสบผลสำเร็จ ขอบเขตของการศึกษา การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยพัฒนา (Research & Development) เพื่อหารูปแบบของการจัดการศึกษาให้กับชุมชนตามแนวคิดของการจัดการศึกษาเพื่อปวงชน โดยให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา (Education for All & All for Education) โดยใช้ขอบเขตพื้นที่ในการปฏิบัติงานดำเนินการจัดการศึกษาชุมชน ในชุมชนหมู่บ้านที่จัดตั้งศูนย์การเรียนชุมชน หรือศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา "แม่ฟ้าหลวง" แล้วแต่กรณี ที่พนักงานราชการ ตำแหน่งครูอาสาสมัครการศึกษานอกโรงเรียน สังกัดศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดแม่ฮ่องสอน ปฏิบัติงานอยู่ประจำหมู่บ้าน
คณะศึกษาศาสตร์ ระดับอนุบาล
ระดับประถมศึกษา
ระดับมัธยมศึกษา
ระดับอุดมศึกษา

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2550

เทศกาลตวงโหงว
เทศกาลตวงโหงว (ตวนอู่) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง เป็นเทศกาลที่จัดขึ้นเพื่อระลึกถึงบุคคลผู้หนึ่ง ชื่อว่า จูหยวน โดยจะนับเอาวันขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 ของทุกๆ ปีซึ่งเป็นวันตายของเขาเป็นวันเทศกาล
ในสมัยเลียดก๊ก มีบุคคลหนึ่งนามว่า จูหยวน เป็นผู้ที่มีความรอบรู้ และความสามารถรอบด้าน เป็นนักปราชญ์ราชกวีคนหนึ่ง รวมทั้งรู้จักหลักการบริหารปกครองเป็นอย่างดี จูหยวนเป็นเชื้อสายของกษัตริย์ผู้ครองแคว้นฉู่ จูหยวนได้รับราชการเป็นขุนนางในสมัยพระเจ้าฉู่หวายอ๋อง เป็นที่ปรึกษา และดูแลเหล่าเชื้อพระวงศ์ จูหยวนเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์ และเปี่ยมด้วยความรู้ความสามารถอันสูงยิ่ง เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าฉู่หวายอ๋องเป็นอันมาก
เมื่อมีคนรัก แน่นอนย่อมต้องมีคนชังเป็นเรื่องธรรมดา เหล่าขุนนางกังฉินทั้งหลายต่างก็ไม่พอใจจูหยวน ด้วยความที่จูหยวนนั้นเป็นคนที่ซื่อตรง ทำงานอย่างตรงไปตรงมา จึงมีหลายครั้งที่การทำงานของจูหยวนเป็นไปเพื่อการขัดขวางการโกงกินบ้านโกงกินเมืองของขุนนางกังฉินเหล่านั้น พวกเขาจึงรวมหัวกันพยายามใส่ไคล้จูหยวนต่างๆ นานา จนพระเจ้าฉู่หวายอ๋องเองก็ชักเริ่มมีใจเอนเอียง จูหยวนรู้สึกทุกข์ระทมตรมใจมาก จึงได้แต่งกลอนขึ้นเพื่อคลายความทุกข์ใจ กลอนบทนั้นมีชื่อว่า "หลีเซา" หมายถึงความเศร้าโศก จนต่อมาพระเจ้าฉู่หวายอ๋องถูกกลลวงของแคว้นฉิน และสวรรคตในแคว้นฉิน รัชทายาทของฉู่หวายอ๋องจึงได้ขึ้นครองราชบัลลังก์แทน
หลังจากที่กษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ พระองค์ได้ทรงหลงเชื่อคำยุยงของเหล่าขุนนางกังฉินพวกนั้น ในที่สุดจึงได้มีพระบรมราชโองการให้เนรเทศจูหยวนออกจากแคว้นฉู่ไป
จูหยวนเศร้าโศกเสียใจมาก หลังจากเดินทางรอนแรมมาถึงแม่น้ำเปาะล่อกัง (บางตำราว่าเป็นแม่น้ำแยงซีเกียง) จูหยวนจึงได้ตัดสินใจกระโดดน้ำตายในวันขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 นั้นเอง
พวกชาวบ้านที่รู้เรื่องการตายของจูหยวน พวกเขาต่างก็รัก และอาลัยในตัวของจูหยวน จึงได้ออกเรือเพื่อตามหาศพของจูหยวน ในขณะที่ค้นหาศพ พวกเขาก็เตรียมข้าวปลาอาหารไปโปรยลงแม่น้ำด้วย นัยว่าเพื่อล่อให้สัตว์น้ำมากิน จะได้ไม่ไปกัดกินซากศพของจูหยวน หลังจากนั้นทุกปีเมื่อถึงวันครบรอบวันตายของจูหยวน ชาวบ้านจะนำเอาอาหารไปโปรยลงแม่น้ำเปาะล่อกัง หลังจากที่ทำมาได้ 2 ปี ก็มีชาวบ้านผู้หนึ่งฝันเห็นจูหยวนที่มาในชุดอันสวยงาม กล่าวขอบคุณเหล่าชาวบ้านที่นำเอาอาหารไปโปรยให้เพื่อเซ่นไหว้ แต่เขาบอกว่าอาหารที่เหล่าชาวบ้านนำไปโปรยเพื่อเป็นเครื่องเซ่นถูกเหล่าสัตว์น้ำกินเสียจนหมดเกลี้ยง เนื่องจากบริเวณนั้นมีสัตว์น้ำอาศัยอยู่มากมาย จูหยวนจึงแนะนำให้นำอาหารเหล่านั้นห่อด้วยใบไผ่ หรือใบจากก่อนนำไปโยนลงน้ำ เพื่อที่เหล่าสัตว์น้ำจะได้นึกว่าเป็นต้นไม้อะไรสักอย่าง จะได้ไม่กินเข้าไป
หลังจากนั้นในปีต่อมา ชาวบ้านต่างก็ทำตามที่จูหยวนแนะนำ คือนำอาหารห่อด้วยใบไผ่ไปโยนลงน้ำเพื่อเซ่นให้แก่จูหยวน หลังจากวันนั้นจูหยวนก็ได้มาเข้าฝันชาวบ้านอีก ว่าคราวนี้ได้กินมากหน่อย แต่ก็ยังคงโดนสัตว์น้ำแย่งไปกินได้ ชาวบ้านต้องการให้จูหยวนได้กินอาหารที่พวกเขาเซ่นให้อย่างอิ่มหนำสำราญจึงได้ถามจูหยวนว่าควรทำเช่นไรดี จูหยวนจึงแนะนำอีกว่าเวลาที่จะนำอาหารไปโยนลงแม่น้ำ ให้ตกแต่งเรือเป็นรูปมังกรไป เมื่อสัตว์น้ำทั้งหลายได้เห็นก็จะนึกว่าเป็นเครื่องเซ่นของพญามังกร จะได้ไม่กล้าเข้ามากิน
ประเพณีการแข่งเรือมังกร และประเพณีการไหว้ขนมจั้ง (บ๊ะจ่าง) จึงเกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้...
นอกจากการไหว้บ๊ะจ่างแล้ว ปัจจุบันในฮ่องกง และเกาลูนก็ยังคงมีผู้จัดประเพณีแข่งเรือมังกรอยู่ รวมทั้งในเทศกาลตวงโหงวนี้ คนจีนโบราณยังเชื่อว่าเป็นวันที่เหล่าปิศาจจะออกมาสำแดงเดช จึงต้องมีการป้องกันด้วยการปัดกวาดทำความสะอาดบ้าน และจุดเครื่องหอมรวมทั้งกำยานเพื่อให้บรรยากาศในบ้านดูสดชื่นขึ้น ภูตผีปิศาจจะได้ไม่กล้าเข้ามากล้ำกราย
ในวันนี้สัตว์มีพิษทั้ง 5 ชนิด อันได้แก่ แมงป่อง แมงมุม ตะขาบ จิ้งจก และงู จะพากันหลบซ่อนตัว จึงเป็นโอกาสที่เจ้าบ้านจะต้องอบบ้านด้วยการจุดกำมะถัน เพื่อไม่ให้สัตว์มีพิษเหล่านี้กลับเข้ามาอาศัยได้อีก นอกจากนี้ยังมีการดื่มเหล้ายาที่ผสมด้วยผงกำมะถันด้วย โดยเชื่อกันว่าจะสามารถป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้เป็นอย่างดี
นอกจากวันนี้จะเป็นวันเทศกาลตวงโหงวแล้ว ทางรัฐบาลจีนยังกำหนดให้วันขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 นี้เป็น วันกวีจีน (The Chinese Poet's Day) อีกด้วย เนื่องจากจูหยวน นับเป็นอีกผู้หนึ่งที่เป็นกวีคนสำคัญของจีน

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2550

อำเภอบึงโขงหลง
อำเภอบึงโขงหลง เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดหนองคาย อยู่ทางด้านตะวันออก พื้นที่ส่วนหนึ่งติดแม่น้ำโขง

เมืองหนองคาย - ท่าบ่อ - บึงกาฬ - พรเจริญ - โพนพิสัย - โซ่พิสัย - ศรีเชียงใหม่ - สังคม - เซกา - ปากคาด - บึงโขงหลง - ศรีวิไล - บุ่งคล้า
สระใคร - เฝ้าไร่ - รัตนวาปี - โพธิ์ตาก